วนัสนันทน์ สุขุมาลพันธ์

ผู้วิเคราะห์ ฝ่ายนโยบายการกำกับสถาบันการเงิน

ธนาคารแห่งประเทศไทย

 

บทความ “พลิกโฉม…การบัญชีสำหรับเครื่องมือทางการเงิน” ได้ดำเนินมาถึงตอนสุดท้ายแล้ว หวังว่า ถึงผู้อ่านคงพอเข้าใจถึงวัตถุประสงค์และหลักการของ IFRS 9 ได้ไม่มากก็น้อยว่า นักบัญชีพยายามจะปรับ หลักการบัญชีไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ และทำให้งบการเงินสามารถสะท้อนฐานะและผลการ ดำเนินงานที่แท้จริงได้ดีขึ้น

ตอนที่ผ่านมาได้ลงรายละเอียดของหลักการที่มีการพลิกโฉมไปพอสมควรแล้ว ทั้งการจัดประเภท การ วัดมูลค่า และการกันเงินสำรอง ซึ่งน่าจะเป็นการพลิกโฉมที่มีผลกระทบต่อธุรกิจค่อนข้างมาก โดยเฉพาะธุรกิจ สถาบันการเงิน ครั้งนี้ เราจะพูดถึง “การบัญชีป้องกันความเสี่ยง” แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่พลิกโฉม แต่ก็มีการปรับรูปโฉมให้สอดรับกับการบริหารความเสี่ยงของธุรกิจมากขึ้น กอปรกับเรื่องนี้เป็นเพียงทางเลือกที่กิจการจะนำไปใช้ หรือไม่ก็ได้ จึงอาจไม่กระทบต่อธุรกิจมากนักเมื่อเทียบกับสองเรื่องแรก

ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ทำไมต้องมีการบัญชีการป้องกันความเสี่ยง ในการดำเนินธุรกิจไม่ ว่าจะขนาดเล็กหรือใหญ่ ก็ล้วนต้องเผชิญความเสี่ยงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งอาจทำให้กิจการประสบผล ขาดทุนได้ กิจการจึงต้องปกป้องตัวเอง โดยอาจซื้อตราสารอนุพันธ์มาปิดความเสี่ยง ซึ่งหากใช้วิธีบันทึกบัญชีทั่วไป กำไรขาดทุนในงบการเงินก็อาจยังผันผวน ทั้งที่ได้ปิดความเสี่ยงแล้ว เนื่องจากกำไรขาดทุนที่เกิดจากตราสารที่ใช้ปิด ความเสี่ยงกับรายการที่ต้องการปิดความเสี่ยงอาจไม่สามารถหักกลบในรอบบัญชีเดียวกันได้ ดังนั้นจึงต้อง กำหนดวิธีการบัญชีเฉพาะ เพื่อให้กิจการสามารถสะท้อนผลของการบริหารความเสี่ยงในงบการเงินได้อย่าง เหมาะสมยิ่งขึ้น

ในปัจจุบันที่ไทยยังไม่ได้ใช้ IAS 39 และไม่มีมาตรฐานการบัญชีไทยส าหรับเรื่องนี้ หลายท่านคงอยาก ทราบว่า กิจการบันทึกบัญชีการป้องกันความเสี่ยงกันอย่างไร ด้วยเหตุที่ยังไม่มีมาตรฐานการบัญชีนี้เอง ท า ให้วิธีปฏิบัติของแต่ละกิจการแตกต่างกันไป โดยกิจการที่มีบริษัทแม่อยู่ในต่างประเทศก็อาจใช้ IAS 39 เช่นเดียวกับบริษัทแม่ เพื่อลดภาระในการจัดท างบการเงินสองชุด แต่ส าหรับกิจการเชื้อสายไทย บางแห่งก็ใช้IAS 39 หรือบางแห่งก็ใช้วิธีเกณฑ์คงค้าง (accrual basis) สำหรับการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย ซึ่งการ ใช้วิธีการบัญชีที่แตกต่างกันก็มีผลต่อระดับผลกระทบที่จะต้องเผชิญเมื่อใช้ IFRS 9 ซึ่งจะได้กล่าวเป็นลำดับ ต่อไป

เกริ่นมาพอสมควรแล้ว คราวนี้เรามาดูกันว่าการบัญชีป้องกันความเสี่ยงตาม IFRS 9 มีการปรับโฉมจาก IAS 39 มากน้อยแค่ไหน และจะมีผลกระทบอย่างไรบ้าง ที่พูดว่า “ปรับโฉม” ก็เพราะ IFRS 9 ไม่ได้ปรับปรุง หลักการที่สำคัญ ๆ จาก IAS 39 แต่เพียงปรับหลักการให้เข้ากับวิธีการบริหารความเสี่ยงมากขึ้น เช่น สามารถใช้ การบัญชีป้องกันความเสี่ยงได้ แม้ว่าจะป้องกันความเสี่ยงเพียงสัดส่วนใดสัดส่วนหนึ่ง ซึ่งเดิมจะเลือกใช้ได้เมื่อ ป้องกันความเสี่ยงทั้งจำนวนเท่านั้น อีกทั้งยังปรับวิธีการประเมินความมีประสิทธิผลของการบัญชีป้องกันความเสี่ยง ให้สอดคล้องกับกลยุทธ์และวัตถุประสงค์การบริหารความเสี่ยงของกิจการมากขึ้น โดยให้กำหนดอัตราส่วนของความ มีประสิทธิผลของกิจการเอง ไม่ต้องมายึดอัตราส่วนตายตัวที่ 80%-125% แบบเดิม ดังนั้น การปรับโฉมครั้งนี้ จึงแทบไม่มีผลกระทบในด้านลบ มีแต่จะช่วยให้กิจการสามารถสะท้อนผลของการบริหารความเสี่ยงในงบ การเงินได้เหมาะสมยิ่งขึ้น

สำหรับเงื่อนไขของการใช้และวิธีการบัญชีป้องกันความเสี่ยงก็คงเดิม โดยกิจการยังคงมีภาระ ในการจัดทำเอกสารระบุกลยุทธ์ วัตถุประสงค์ของการบริหารความเสี่ยง รายการที่ถูกป้องกันความเสี่ยง (hedged item) ซึ่งอาจเป็นสินทรัพย์ หนี้สิน สัญญาผูกมัด รายการที่คาดการณ์ไว้ และเครื่องมือที่ใช้ ป้องกันความเสี่ยง (hedging instrument) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นตราสารอนุพันธ์ ส่วนวิธีการบัญชีก็แบ่งตาม ประเภทของการบัญชีป้องกันความเสี่ยงดังนี้(1) การป้องกันความเสี่ยงในมูลค่ายุติธรรม (fair value hedge) (เช่น การท า interest rate swap (IRS) แลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยคงที่เป็นลอยตัว เพื่อป้องกันความ เสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรม (mark-to-market: MTM) ของเงินลงทุนที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่) ให้ รับรู้ผลกำไรขาดทุนจากการ MTM ของ hedged item และ hedging instrument ไปหักกลบกันในกำไร ขาดทุน (2) การป้องกันความเสี่ยงในกระแสเงินสด (cash flow hedge) (เช่น การทำ IRS แลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ยลอยตัวเป็นคงที่ เพื่อป้องกันความผันผวนของกระแสเงินสดของดอกเบี้ย) ให้รับรู้ผลกำไรขาดทุน จากการ MTM ของ hedging instrument พักไว้ในกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น (OCI) แล้วค่อยนำไปหักกลบกัน ในกำไรขาดทุนเมื่อ hedged item กระทบกับกำไรขาดทุน (3) การป้องกันความเสี่ยงในเงินลงทุนสุทธิในการ ดำเนินงานต่างประเทศ (hedge of net investment in a foreign operation) ใช้วิธีการบัญชีเช่นเดียวกับ กับ cash flow hedge

สำหรับกิจการที่ปัจจุบันใช้วิธีเกณฑ์คงค้าง อาจได้รับผลกระทบมากกว่ากรณีที่ใช้ IAS 39 เนื่องจาก ปัจจุบันกิจการรับรู้เพียงดอกเบี้ยค้างรับ/ค้างจ่ายเท่านั้น และไม่เคยวัดมูลค่ายุติธรรมของ hedging instrument และรับรู้ในงบการเงิน หากกิจการตัดสินใจเลือกใช้การบัญชีป้องกันความเสี่ยง ก็อาจต้องมีภาระที่จะต้องจัดท า เอกสารตามที่กล่าวข้างต้น อีกทั้งยังต้องวัดมูลค่ายุติธรรมของ hedging instrument และรับรู้ในงบการเงิน ซึ่งอาจทำให้ฐานะของสินทรัพย์/หนี้สินเพิ่มขึ้น แต่ประโยชน์ก็คือ ช่วยให้สามารถแสดงผลของการป้องกันความ เสี่ยงในงบการเงินได้อย่างเหมาะสม อย่างไรก็ดี การบัญชีป้องกันความเสี่ยงข้างต้นอาจยังไม่ตอบโจทย์การบริหารความเสี่ยงของสถาบันการเงินที่มี การบริหารแบบกลุ่มซึ่งฐานะความเสี่ยงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา (dynamic portfolio hedge) IASB จึงอยู่ ระหว่างพิจารณากำหนดวิธีการบัญชีส าหรับการบริหารความเสี่ยงแบบนี้ โดยคาดว่าจะออกเกณฑ์ในช่วงต้นปี 62 ก็ต้องรอติดตามต่อไป

ขณะนี้เรามีเวลาเหลืออยู่ประมาณ 2 ปีเต็ม ก่อนที่จะเริ่มใช้ IFRS 9 ในปี 62 หากลองประเมินคร่าว ๆ ว่า สถาบันการเงินผู้ซึ่งได้รับผลกระทบมากที่สุด มีความพร้อมที่จะใช้มากน้อยเพียงใด ก็น่าจะหายห่วงได้เพราะ สถาบันการเงินค่อนข้างตื่นตัว ส่วนใหญ่ก็มีการว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อประเมินผลกระทบ และเริ่มปรับปรุงระบบงาน และฐานข้อมูลกันไปบ้างแล้วตามแผนการดำเนินงานที่วางไว้ และสำหรับคนที่รอร่างมาตรฐานฯ ฉบับ ภาษาไทย สภาวิชาชีพบัญชีจะคลอดมาให้เห็นกันในปลายเดือนนี้แน่นอน พร้อมทั้งจัดสัมมนาพิจารณ์รับฟัง ความเห็นต่อร่างฯ จากผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย สุดท้ายนี้ หวังว่าผู้อ่านที่ติดตามกันมาจะได้ประโยชน์จากบทความนี้ บ้างไม่มากก็น้อย

พลิกโฉม…การบัญชีส าหรับเครื่องมือทางการเงิน : “การบัญชีป้องกันความเสี่ยง”
Tagged on: