
ข้อควรรู้เกี่ยวกับการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่
โดยปกตินั้น เมื่อบุคคลมีรายได้ย่อมต้องนำเงินได้ที่เกิดขึ้นมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโดยจะต้องนำมาคำนวณเป็นเงินได้สุทธิหักค่าใช้จ่ายที่กฎหมายให้ถือเป็นรายจ่ายแล้วหักด้วยค่าลดหย่อนต่างๆ ตามที่กฎหมายกำหนด ยอดคงเหลือ คือ เงินได้สุทธิ นำไปคำนวณภาษีเงินได้ตามอัตราภาษีเงินได้ เนื่องจากหลักเกณฑ์การหักค่าใช้จ่าย การหักลดหย่อน การกำหนดเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีเงินได้ การกำหนดเงินได้พึงประเมินที่ต้องยื่นรายการสำหรับบุคคลธรรมดาและอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดาที่กำหนดในบัญชีอัตราภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากรได้ใช้บังคับมาเป็นระยะเวลานานซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและค่าครองชีพในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป ปัจจุบันได้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์การหักค่าใช้จ่าย การหักลดหย่อน การกำหนดเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีเงินได้ใหม่ การกำหนดเงินได้พึงประเมินที่ต้องยื่นรายการสำหรับบุคคลธรรมดาและอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดาดังกล่าวให้เหมาะสมยิ่งขึ้น[1] โดยผู้เขียนมีกรอบการนำเสนอขอบเขตของการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่ ดังนี้
1. ปรับปรุงการหักค่าใช้จ่าย สำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) (2) และ (3) (แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร มาตรา 42 ทวิ และมาตรา 42 ตรี)
2. ปรับปรุงการหักลดหย่อน (แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร มาตรา 47)
3. ปรับปรุงจำนวนเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีเงินได้ (แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร
มาตรา 48)
4. ปรับปรุงจำนวนเงินได้พึงประเมินที่ผู้มีเงินได้ต้องยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมิน
(แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร มาตรา 56)
5. ปรับปรุงอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดา (แก้ไขเพิ่มเติมบัญชีอัตราภาษีเงินได้
บุคคลธรรมดา)
______________________________________________________________________________________
กัมปนาท บุญรอด*
